วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เขื่อนแม่วงก์


เขื่อนแม่วงก์


  เขื่อนแม่วงก์ เป็นโครงการก่อสร้างในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน กั้นแม่น้ำแม่วงก์บริเวณเขาชนกัน หรือเขาสบกก ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับอนุมัติงบประมาณก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555 เป็นเงิน 13,280 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2562
เขื่อนแม่วงก์เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว มีความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 13,000 ไร่ ปริมาณกักเก็บน้ำประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร 

  โครงการก่อสร้างได้รับการศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจนกระทั่งได้รับการอนุมัติการก่อสร้างในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยให้เหตุผลว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำสะแกกรัง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งจากองค์กรพัฒนาเอกชน ว่าเป็นเขื่อนขนาดเล็ก ซึ่งไม่คุ้มค่าการลงทุน และต้องมีการสูญเสียพื้นที่ป่าถึง 18 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด รวมทั้งเสือโคร่ง ช้าง และนกยูง




โครงการ เขื่อนแม่วงก์

  มีแนวคิดริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2525 โดยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พยายามศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมทั้งผลกระทบทางด้านต่าง ๆ เรื่อยมา ตามหลักการที่ว่าต้นแม่น้ำ หรือต้นลำน้ำทุกสาย ควรจะมีเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้สำหรับการอุปโภค บริโภค และการเกษตรในฤดูแล้ง
แต่โครงการสร้าง เขื่อนแม่วงก์ถูกคัดค้านเรื่อยมา ประกอบมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย ๆ จึงไม่มีการสานต่อโครงการนี้ จนกระทั่งเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ต่อมาปี 2555 รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงปัดฝุ่นโครงการดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง โดยบรรจุโครงการสร้าง เขื่อนแม่วงก์ไว้เป็น 1 ในจำนวนกว่า 10 เขื่อนขนาดเล็ก ของโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน และบรรเทาปัญหาภัยแล้งในฤดูร้อน



 “เขื่อนแม่วงก์จะเป็นหนึ่งในจำนวนเขื่อนขนาดเล็ก ของโครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการช่วยตัดยอดน้ำไม่ให้ไหลทะลักไปสู่แม่น้ำสะแกกรัง
จ.อุทัยธานี และแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ ในช่วงฤดูฝน


  โครงการเขื่อนแม่วงก์ จะใช้งบประมาณก่อสร้าง 13,000 ล้านบาท สามารถกักเก็บน้ำได้ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นเขื่อนลักษณะหินทิ้งแกนดินเหนียวขนาดใหญ่ ความยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 57 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำประมาณ 13,000 ไร่ ตัวเขื่อนตั้งอยู่บริเวณแก่งลานนกยูง เขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ในพื้นที่หมู่ 4 ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ กั้นลำน้ำแม่วงก์ที่มีลำคลองสาขาไปสู่แม่น้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี และอีกสายไหลจากป่าแม่วงก์ลงสู่พื้นที่ อ.แม่วงก์  อ.ลาดยาว อ.บรรพตพิสัย  และมาบรรจบกับแม่น้ำปิง ในพื้นที่ ต.วัดไทร อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์



ผลกระทบเบื้องต้น

  การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่น้อยกว่า 13,000 ไร่ เป็นไม้ใหญ่ประมาณ 500,000 ต้น ซึ่งในจำนวนนี้มีไม้สักประมาณ 50,000 ต้น กล้าไม้อีก 10,000 ต้น หรือเปรียบ เทียบได้ว่าพื้นที่ป่า 1 ไร่ ที่จะถูกน้ำท่วมจะมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 80 ต้นเป็น ไม้สัก 13 ต้น ลูกไม้ 576 ต้น และกล้าไม้อีก 1,880 ต้น
  จากการคำนวณพื้นที่ป่าที่จะสูญเสียไป จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อคำนวณเป็น ปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้สามารถดูดซับไว้ได้นั้น หากมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ประเทศไทยจะสูญเสียพื้นที่ที่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ 10,400 ตันคาร์บอน ป่าแม่วงก์มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างน้อย 549 ชนิด และมีปลาอาศัยอยู่ในลำน้ำ 64 ชนิด (ใน EIA รายงานไว้ 61 แต่สำรวจเจอเพิ่มจากการลงพื้นที่อีก 3 ชนิด) ในจำนวนนี้มีเพียง 8 ชนิด หรือ 13% ที่สามารถผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งในอ่างเหนือเขื่อนได้นอกนั้นต้องอาศัยพื้นที่น้ำไหลหรือน้ำหลากซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ


               เปิดข้อมูลหนุน-ค้าน โครงการเขื่อนแม่วงก์

ปะทุกลายเป็นกระแสสังคมร้อนแรงขึ้นมาอีกรอบ



กรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ 


   ประเด็นล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร รวมถึงเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำโดยนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการ มูลนิธิสืบฯ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านกระบวนการจัดทำและผ่าน "อีเอชไอเอ" หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในการสร้างเขื่อนแม่วงก์


  ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีก็มีมติตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 อนุมัติให้ดำเนินโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยจะใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 13,280 ล้านบาท เวลาก่อสร้างราว 8 ปี 
สำหรับข้อคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดยสรุปข้อมูลจากมูลนิธิสืบฯ และเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมฯ



ทำไมต้องคัดค้าน 

1. เหตุผลด้านนิเวศ

- ทำลายป่าต้นน้ำ

- อาจเกิดการลักลอบตัดไม้ริมอ่างเก็บน้ำที่ยากต่อการควบคุม

- เร่งให้เกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น นกยูง เสือโคร่ง

- สูญเสียแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า

- ทำลายโอกาสการฟื้นฟูของอุทยาน

- ส่งผลกระทบต่อป่ามรดกโลกทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง 

- ระบบนิเวศถูกคุกคาม


- ง่ายต่อการลักลอบล่าสัตว์ป่า




2. เหตุผลด้านเศรษฐกิจและสังคม


- เขื่อนมีขนาดเล็ก ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

- เขื่อนไม่แก้ปัญหาน้ำท่วมและนํ้าแล้ง

- ทำลายแหล่งศึกษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

- ทำลายความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของไทย

- เป็นช่องทางให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ



  ความสำคัญของผืนป่าแม่วงก์ ซึ่งจะเป็นจุดสร้างเขื่อน ป่าบริเวณที่จะถูกน้ำท่วมเป็นป่าริมน้ำและป่าที่ราบต่ำ ซึ่งต่ำกว่าระดับ 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล, เป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญที่สุดของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้าง เสือ, เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ป่า, ป่าแต่ละส่วนมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของป่าทั้งระบบ


  ดังนั้น การสูญเสียป่า 18 ตร.ก.ม.หรือเพียง 2 เปอร์เซ็นต์อาจดูเล็ก แต่เมื่อเทียบกับอวัยวะ ส่วนที่ว่านี้คือ "หัวใจ" ที่ต้องรักษาไว้

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

การเขียนรายงานที่ดี


การเขียนรายงาน


ความหมายของรายงาน
        
   รายงาน  คือ  การเขียนเล่าถึงสิ่งที่ได้พบเห็นหรือได้กระทำมาแล้ว   เช่น  การค้นคว้า ทางวิชาการ  การไปศึกษานอกสถานที่  การไปพักแรมค่ายเยาวชน  การประชุมกลุ่ม  การประสบเหตุการณ์ที่สำคัญ  เป็นต้น
      
   ลักษณะของรายงานคล้ายย่อความ คือเก็บเฉพาะข้อความสำคัญแต่อาจ เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างได้ตามสมควร แบบการเขียนรายงานไม่มีข้อกำหนดตายตัว  เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย  อาจกำหนดตามแบบของแต่ละสถาบัน

ส่วนต่าง ๆ ของรายงาน  มี  3  ส่วน  ดังนี้
     
   1.  ส่วนหน้า  ประกอบด้วย  หน้าปก  ใบรองปกหน้า  (กระดาษเปล่า)  หน้าปกใน  หน้าคำนำ  หน้าสารบัญ
        2.  ส่วนกลาง  ประกอบด้วย  เนื้อเรื่อง  เชิงอรรถ
        3.  ส่วนท้าย  ประกอบด้วย  บรรณานุกรม  ภาคผนวก  ใบรองปกหลัง (กระดาษเปล่า)  ปกหลัง

การเขียนส่วนต่าง ๆ ของรายงานแต่ละส่วน
        
1.  การเขียนปกรายงานและการเขียนหน้าปกใน 
             1.1  การเขียนปก  ให้เขียนชื่อเรื่อง  และผู้เขียนรายงาน  กลางหน้ากระดาษ  ไม่ต้องใส่คำว่า  ชื่อเรื่อง  และผู้เขียนรายงาน 
             1.2  การเขียนหน้าปกในให้เขียนโดยแบ่งเป็น  3  ส่วน  ดังนี้
                    ส่วนบน  ให้เว้นระยะ  2  นิ้ว  จากขอบกระดาษบนถึงบรรทัดแรกของรายงาน และเขียน ชื่อเรื่องของรายงาน  ใส่เฉพาะชื่อเรื่องที่เขียนรายงาน  ไม่ต้องใส่คำว่า  ชื่อเรื่อง  
                    ส่วนกลาง  เว้นจากส่วนบนลงมาประมาณ  2  บรรทัดใส่คำว่าโดย  และชื่อผู้เขียนรายงาน ไม่ต้องใส่คำว่า  ผู้เขียนรายงาน
                    ส่วนล่าง  ให้เว้นระยะ  1  นิ้ว  จากขอบกระดาษล่างถึงบรรทัดสุดท้ายของส่วนล่าง  บรรทัดแรกของส่วนล่างระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด ชั้นอะไร ภาคเรียนที่เท่าใด ปีการศึกษาใด  ใครเป็นครูผู้สอน








   2.  การเขียนคำนำ
            
 การเขียน คำนำอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน  2  นิ้ว ผู้เขียนรายงานจะระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขตของเนื้อเรื่อง   หรือแนวการค้นคว้า   และคำขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือให้ การค้นคว้ารวบรวม และเรียบเรียงรายงานนั้นให้สำเร็จลงด้วยดี เมื่อหมดข้อความแล้วลงชื่อผู้เขียน วัน  เดือน ปี  ที่เขียน  ถ้าเป็นรายงานกลุ่มเขียนคำว่า คณะผู้จัดทำ หน้าคำนำมักนิยมใส่เลขหน้าในวงเล็บไว้ด้านล่าง



  3.  การเขียนสารบัญ
             
  การเขียน  “สารบัญ”  ผู้เขียนรายงานจะแบ่งเป็นบท  เป็นตอนระบุเนื้อเรื่องที่ปรากฏในรายงาน เรียงตามลำดับ การเว้นระยะในการเขียนจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน  2  นิ้ว  และข้อความในสารบัญ จะอยู่ห่างจากริมซ้ายของกระดาษเข้าไป  1.1  นิ้ว  เริ่มตั้งแต่ คำนำ  บท  และ ชื่อของบท จนถึงส่วนท้าย คือบรรณานุกรม และภาคผนวก เลขหน้าทางด้านขวามือจะอยู่ห่างจากขอบขวาของกระดาษ 1.1 นิ้ว ผู้เขียนรายงานต้องทำรายงานเรียบร้อยแล้วจึงจะระบุเลขหน้าได้ว่า บทใด  ตอนใด  อยู่หน้าใด



การนำบัตรข้อมูลที่บันทึกตามโครงเรื่องมาเขียนเนื้อหาของรายงาน
        
  การเขียนเนื้อเรื่อง  เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด   เพราะผลการค้นคว้ารวบรวมทั้งหมดที่บันทึก ลงในบัตรบันทึกข้อมูลจะนำมาเรียบเรียงไว้ในส่วนนี้ เรียงตามลำดับโครงเรื่องที่ปรากฏในสารบัญ ครอบคลุมตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย ในหน้าแรกของเนื้อเรื่องไม่ต้องใส่เลขหน้าเว้นจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมา 2 นิ้ว  ไว้กลางหน้ากระดาษ   ทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ไม่ใส่เลขหน้าเฉพาะหน้านั้นแต่ให้นับหน้าด้วย การเว้นระยะจากขอบล่างขึ้นมา  ให้เว้น  1 นิ้ว  จากขอบซ้ายของหน้ากระดาษเข้ามาเว้น  1.5  นิ้ว  จากขอบขวาของหน้ากระดาษเข้ามา  เว้น  1 นิ้ว  ส่วนการย่อหน้าทุกครั้งให้เว้น ช่วงตัวอักษร  เขียนตัวที่  7





การทำบรรณานุกรมท้ายเล่ม
        
การลงบรรณานุกรม  หากมีเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้ลงภาษาไทยก่อน  เรียงตามลำดับประเภท  และในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับอักษรผู้แต่ง   หรือเรียงตามลำดับอักษรรวมกันไม่แยกประเภท



วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน"

                                      

                                   เสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"

    ส่งท้ายเดือน "สิงหาคม" กันด้วยกิจกรรมดีๆ อย่างงานเสวนาในหัวข้อ     "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบวันอภิเษกสมรสครบ 95 ปีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการยกย่องพระเกียรติในเรื่องของ "สังคมผัวเดียวเมียเดียว" ในแบบสังคมตะวันตก จนส่งผลให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างของกุลสตรีไทย ที่ทรงดำรงพระองค์ด้วยพระราชหฤทัยมั่นคง ผูกพันจงรักภักดีในพระราชสวามีสืบมาตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากรัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งในวาระโอกาสพิเศษนี้ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เชื้อเชิญสองสาวเวิร์กกิ้งวูแมนอย่าง น.ส.วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราช และ บก.บห.นิตยสารลิซ่าอย่าง น.ส.พิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี มาร่วมบรรยายเสวนาความรู้ถึงวัฒนาการและบทบาทของผู้หญิงจากอดีตสู่ปัจจุบัน ตลอดจนเผยแพร่พิพิธภัณฑ์ฯ ให้เป็นที่รู้จัก แก่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ที่มาร่วมรับฟังช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา




   สิทธิสตรีหญิงยุคใหม่..หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน  สมัยพระบาทสมเด็จพระ   จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  5 ทรง ปรับเปลี่ยนประเทศ เพื่อรับมือการเข้ามาของตะวันตก บทบาทของสตรีถูกยกระดับขึ้นมากจากเดิม  ระบบทุนนิยม ทำให้วิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆด้าน  เช่น การแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรม การแสดงความคิดเห็น  สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และการยอมรับทางสังคม เป็นต้น  สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงช้างเท้าหลัง กลับมีบทบาทเทียบเท่ากับผู้ชาย ความเป็นผู้นำ ไม่ถูกจำกัดเฉพาเพียงผู้ชายอีกต่อไป 


  ในยุคปัจุบัน แฟชั่นปรับเปลี่ยน ความคิด ค่านิยมของคนในสังคม และเป็น   เครื่องกำหนด ฐานะทางสังคมไปโดยปริยาย  เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป เทคโนโลยี ต่างๆ ช่วยให้ การดำเนินชีวิตเป็นเรื่องง่าย  สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  คำว่าแฟชั่น ไม่มีในความคิดของสตรีเลย การแต่งกาย หรือ การกระทำต่างๆ จะเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด  แต่ในปัจุบัน แฟชั่น การแต่งกาย เป็นเครื่อง เสริมสร้างความมั่นใจ ให้กับสตรี เป็นอย่างมาก 






     ปัจุบันผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชายอีกทั้งยัง ได้รับการยอมรับ ทางสังคมอย่างกว้างขวาง และยังสามารถ พัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้ล้ำหน้ากว่าผู้ชาย  บทบาทจากเดิมที่เคยมองว่า สตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ ถูกลบเลือนไป   เพราะเกิดการยอมรับในความเป็นสตรียุคใหม่ ที่แข็งแกร่งต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลง  ของสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง








วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เอกยุทธ อัญชันบุตร


                                                                               
             เอกยุทธ อัญชันบุตร


       เอกยุทธ อัญชันบุตรหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า จอร์จ ตัน (George Tan) เป็นนักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชาว มีชื่อจากการเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ไทยอินไซเดอร์ซึ่งต่อต้านรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์และกบฏ 9 กันยาเมื่อพ.ศ. 2528 ก่อนหนีคดีออกนอกประเทศแล้วเดินทางกลับเมื่อขาดอายุความแล้วประวัติ
  เอกยุทธ อัญชันบุตร เกิดเมื่อเดือน 24 มิถุนายน พ.ศ. 2497เป็นบุตรคนที่ 3 จากจำนวน 5 คน ของ ร้อยโท แปลก อัญชันบุตร นายทหารคนสนิทของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และนันทา ฉัตรกุล ณ อยุธยา จบการศึกษาที่โรงเรียนแม้นศรีวิทยา และโรงเรียนเทพประสาทวิทยา แล้วต่อมัธยมศึกษาที่โอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาทำธุรกิจรับเหมาก่อก่อสร้างร่วมกับพี่ชาย แล้วไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังที่มหาวิทยาลัยแปซิฟิก รัฐฮาวาย


แชร์ชาร์เตอร์

 เมื่อเรียนจบ เอกยุทธเริ่มทำธุรกิจซื้อขายโภคภัณฑ์ และซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จากนั้น จึงเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายโภคภัณฑ์ และเงินตราต่างประเทศ ชื่อ บริษัทชาร์เตอร์ อินเวสท์เมนท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 14 มิถุนายน 2526 และบริษัทชาร์เตอร์เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 24 ธันวาคม 2527 เมื่อ พ.ศ. 2526 เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศสูง ถึงร้อยละ 12 เอกยุทธในวัย 24 ปี ได้คิดหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย โดยกู้เงินจากต่างประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ประมาณร้อยละ 3 มาฝากในสถาบันการเงินในประเทศเพื่อทำกำไร และนำกำไรที่ได้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์บริษัทนายหน้าของเอกยุทธ ในระยะแรกมีเงินลงทุนจากนายทหาร และนักการเมืองเป็นจำนวนมาก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงจึงมีประชาชนทั่วไปนำเงินเข้ามาลงทุน และรุ่งเรืองที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2527 เมื่อประชาชนสมัยนั้นนิยมการลงทุนในเงินนอกระบบเช่น แชร์แม่ชม้อย, แชร์แม่นกแก้ว และหันมาลงทุนกับแชร์ชาร์เตอร์เป็นทอด ๆ
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยสมหมาย ฮุนตระกูล ประกาศลดค่าเงินบาท และออก พระราชบัญญัติการกู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีการดำเนินการทางกฎหมายกับชม้อย ทิพยโส หรือ "แม่ชม้อย" หัวหน้าวงแชร์แม่ชม้อย และพันจ่าอากาศเอกหญิง นกแก้ว ใจยืน หัวหน้าวงแชร์แม่นกแก้ว  เอกยุทธเดินทางออกนอกประเทศหลังจากมีข่าวว่าทางการจะออกหมายจับเมื่อกลางปี พ.ศ. 2528 และเกิดความตื่นตระหนกขึ้นเมื่อมีนายทหารฟ้องคดีเช็คของเอกยุทธ ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และทำให้มีผู้เข้าร้องเรียนกับกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เป็นจำนวนหลายพันคน ทางการประกาศอายัดทรัพย์สินของเอกยุทธ อัญชันบุตร, บริษัท ชาร์เตอร์ และผู้ถือหุ้น เพื่อนำออกขายทอดตลาด


Bagdad Pact

Bagdad Pact

   Bagdad Pact  องค์การสนธิสัญญากลาง (อังกฤษ: Central Treaty Organization, ย่อ: CENTO) มีชื่อเดิมว่า องค์การสนธิสัญญาตะวันออกกกลาง ({{lang-en|Middle East Treaty Organization หรือ METO) หรือรู้จักกันในชื่อ สนธิสัญญาแบกแดด ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1955 โดยอิหร่าน อิรัก ปากีสถาน ตุรกี และสหราชอาณาจักร ยุบไปเมื่อ ค.ศ. 1979

 แรงกดดันและการสัญญาความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนสำคัญในการเจรจาอันนำไปสู่ความตกลง แม้สหรัฐอเมริกาไม่อาจเข้าร่วมแต่แรก "เพราะเหตุผลทางเทคนิคล้วน ๆ ด้านกระบวนการงบประมาณ" ใน ค.ศ. 1958 สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมคณะกรรมาธิการทหารของพันธมิตร มักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในพันธมิตรสงครามเย็นที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุดสำนักงานใหญ่ขององค์การเดิมตั้งอยู่ในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ใน ค.ศ. 1955-58 ก่อนย้ายไปยังกรุงอังคารา ประเทศตุรกี ใน ค.ศ. 1958-79 ไซปรัสเองก็เป็นตำแหน่งสำคัญสำหรับ CENTO เพาะตำแหน่งที่ตั้งในตะวันออกกลางและฐานทัพอังกฤษบนเกาะ   กลุ่มทางทหารในระดับภูมภาค:องค์การสนธิสัญญากลาง(เซ็นโต)ความสำคัญ องค์การสนธิสัญญากลางมีภารกิจหลัก คือ เป็นองค์การพันธมิตรเพื่อความมั่นคง ส่วนในเรื่องทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง กองกำลังผสมเซ็นโตได้ดำเนินการซ้อมรบทั้งทางเรือ ทางบก และทางอากาศ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการปฏิบัติการต่างๆภายใต้การอุปถัมภ์ของเซ็นโตในการควบคุมการบ่อนทำลายในประเทศสมาชิก ได้มีการจัดตั้งโทรคมนาคมทางทหารกินระยะทางถึง 3000 ไมล์เชื่อมโยงระหว่างกรุงอังการา(ประเทศตุรกี) กับกรุงเตหะราน(ประเทศอิหร่าน) และกับกรุงการาจี(ประเทศปากีสถาน) อีกทั้งยังได้มีการก่อสร้างการคมนาคมและการขนส่งอื่นๆอีกหลายชนิดระหว่างรัฐที่เป็นสมาชิก


จากการที่ไม่สามารถดึงชาติอาหรับมาเป็นสมาชิกได้ และ (3)ไม่มีการคุกคามอย่างเปิดเผยจากรัฐคอมมิวนิสต์ ในปี ค.ศ.1979ปากีสถานได้ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาพันธมิตรนี้ และการปฏิวัติในอิหร่านก็ทำให้อิหร่านต้องถอนตัวโดยพฤตินัยจากสนธิสัญญาพันธมิตรนี้อีกเช่นกัน ก็จึงเป็นอันยุติบทบาทของเซ็นโตด้วยประการฉะนี้  องค์การพันธมิตรในระดับภูมิภาค โดยการริเริ่มของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1955มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งระบบความมั่นคงในตะวันออกกลางเพื่อใช้ต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทาเศรษฐกิจและสังคมในหมู่ชาติสมาชิกเซ็นโตมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กติกาสัญญาแบกแดดจวบจนกระทั่งอิรักถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกเมื่อปีค.ศ.1959ภายหลังจากเกิดการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลนิยมตะวันตกในอิรักชาติที่เป็นสมาชิกในช่วงหลังปีค.ศ.1959ได้แก่ อังกฤษ อิหร่าน ปากีสถาน และตุรกี ส่วนสหรัฐอเมริกานั้นถึงแม้ว่าจะมิได้เป็นชาติสมาชิกอย่างเป็นทางการแต่ก็ได้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้โดยได้ลงนามในข้อตกลงแบบทวิภาคีกับอิหร่าน ปากีสถาน และตุรกี 

 โดยมีภาระผูกพันที่จะให้การช่วยเหลือชาติที่ลงนามในสนธิสัญญานี้ต่อต้านการโจมตีของคอมมิวนิสต์ มีการจัดตั้งคณะมนตรีทำหน้าที่เป็นองค์กรสูงสุดขององค์การทั้งนี้โดยได้รับความช่วยเหลือจากคณะกรรมาธิการหลักๆอีก4คณะ(คือ คณะกรรมาธิการฝ่ายทหาร คณะกรรมาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คณะกรรมาธิการฝ่ายต่อต้านการบ่อนทำลาย และคณะกรรมาธิการฝ่ายประสานงาน) อีกทั้งยังมีสำนักเลขาธิการที่มีเลขาธิการใหญ่เป็นหัวหน้า โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงอังการา ประเทศตุรกี